เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ มิ.ย. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนเราถ้าไม่เจ็บไข้ได้ป่วย อาหารการกิน การหล่อเลี้ยงชีวิตนะ การหล่อเลี้ยงชีวิตในสมัยพุทธกาลพระเวลาบิณฑบาตมานี่เป็นทำภัตกิจ เวลาฉันอาหารเป็นทำภัตกิจ เป็นกิจที่ว่าทำภัตๆ ที่ได้มาเป็นกิจเท่านั้นเอง เป็นกิจการเลี้ยงชีวิตเรา ถ้าร่างกายนี้ยังต้องการใช้อาหารเป็นการเลี้ยงดูชีวิต

แต่หัวใจมันอาศัยกรรม มันไม่มีวันตาย อาศัยกรรมดีกรรมชั่วเลี้ยงชีวิตของมันไปนะ มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แล้วมันสืบต่อกันไปโดยธรรมชาติของมัน อาศัยกรรมอันนั้นออกไป

ดังนั้นเวลาเราเกิดมามีร่างกายกับจิตใจ เวลาทุกข์ยากของร่างกายมันเป็นส่วนหนึ่ง ร่างกายนี้บำบัดได้รักษาได้ แต่หัวใจมันบำบัดรักษาไม่ได้ มีจิตแพทย์ เห็นไหม เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ป่วยทางจิต ให้จิตแพทย์รักษา ถ้ารักษาปกติมันก็รักษาเป็นปกติของเราขึ้นมา แต่ไม่สามารถรักษาให้หายจากโรคของกิเลสได้ มีธรรมะเท่านั้นที่รักษาโรคนี้ให้หายออกจากใจได้ ถ้าหายออกจากใจได้ เราต้องออกแสวงหา

ส่วนนี้แสวงหาการกระทำของเรา เห็นไหม บุญกุศลเป็นบุญกุศล การแสวงหาเพื่อเป็นบุญกุศลของเรา เพื่อความสุข เพื่อสมความปรารถนาในชีวิต ในชีวิตจะสมความปรารถนา ถ้าเราทำคุณงามความดีมา มันจะทำอะไรจะสมความปรารถนา เพราะมีอำนาจวาสนา ถ้าอำนาจวาสนาไม่มีทุกข์ยากทำขนาดไหน มันก็พลัดพรากจากมือเราไป มันหลุดจากมือเราไป พลัดพรากจากมือเราไป โดยที่ว่าเราพยายามทำคุณงามความดี อำนาจวาสนาเราไม่ถึง มันเหนี่ยวรั้งสิ่งนั้นไว้ไม่ได้ เพราะบุญกรรมไง

บุญกรรมการเกิดมา ในศาสนาเราถึงสอนเรื่องทำบุญกุศล เรื่องสละจาคะออกไป สิ่งที่สละจาคะออกไปมันเป็นบุญกุศล เป็นกรรมดี สิ่งนี้มันหล่อเลี้ยงชีวิตหล่อเลี้ยงหัวใจ ถ้าหัวใจมีคุณงามความดี ทำคุณงามความดีถึงที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ที่มีบุญกุศลเต็มในหัวใจนั้น ไม่ต้องหวังสิ่งใดจากใครเลย

แต่เวลาเรากราบไหว้พระพุทธเจ้า เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราก็หวังเป็นที่พึ่งของเรา ทำบุญอุทิศส่วนกุศลต่างๆ ไปอุทิศไปขนาดไหน ท่านอิ่มพอของท่านนะ เป็นคุณงามความดีของท่าน แต่เราทำออกไปแล้วเป็นคุณงามความดีของเราต่างหาก คุณงามความดีของเราเกิดขึ้นมาจากการน้อมนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าสิ่งนั้นเป็นครูเป็นศาสดาของเรา เราตั้งจิตอธิษฐานให้ถึงสิ่งนั้น แล้วถึงที่สุดแล้วเราทำตัวของเราต่างหาก เลี้ยงชีวิตชอบ เลี้ยงใจชอบจนถึงที่สุดนั้น เห็นไหม พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

พุทธะเป็นผู้รู้ผู้ตื่น เห็นไหม เวลาเรารู้สึก หัวใจเท่านั้นที่รู้สึก หัวใจเท่านั้นรับรู้สิ่งต่างๆ แล้วหัวใจนั้นเป็นความสุขความทุกข์ สิ่งอื่นๆ ไม่มีเลย ร่างกายนี้มันรักษาได้เพียงชั่วคราวให้ความสุขมัน เห็นไหม ร้อนเราก็อาบน้ำขึ้นไป ให้ความอบอุ่นแก่มัน มันก็มีความร่มเย็น หนาวก็ให้ความอบอุ่น มันก็มีความร่มเย็นมีความพอใจของมัน แต่รักษาไว้ขนาดไหนถึงที่สุดแล้วมันก็พลัดพรากจากไป มันไม่คงที่ มันไม่เป็นไปตามสัจจะความจริง มันเป็นแบบนั้น

สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่เราไม่เห็นเป็นธรรมดาเราถึงเหนี่ยวรั้งไว้ยึดไว้ พอไม่เห็นเป็นธรรมดาเราก็มีความทุกข์ เรามีตัณหามีความทะยานอยาก มันเป็นสมุทัย สมุทัยนี้ขวางสัจจะขวางความจริงไปทั้งหมดเลย แล้วเราอยู่กับสมุทัย อยู่ในการคาดหมาย ความคาดหมายเราถึงไม่เป็นธรรม เราถึงได้ทุกข์ร้อนในหัวใจไง หัวใจเราทุกข์ร้อนเพราะเราไม่เห็นตามความเป็นจริง ผู้ที่เห็นตามความเป็นจริงแล้วสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เก้อๆ เขินๆ สิ่งต้องอาศัยกัน เราไม่อาศัยสิ่งนี้ไม่ได้

เวลาเราทำคุณงามความดี เราประกอบสัมมาอาชีพเข้ามา อะไรเกิดขึ้นกับเรา สิ่งที่เกิดขึ้นมาคือเงินทอง สิ่งนี้เงินทองมันเป็นสิ่งที่เราใช้สอยได้ เราใช้จ่ายได้ บุญกุศลก็เหมือนกัน มันเกิดขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่สะสมไว้ที่ใจ มันใช้สอยชั่วคราว เห็นไหม ถึงว่าเป็นอามิสไง สิ่งที่เป็นอามิสเราสละ คือเราทำบุญกุศลมันเกิดขึ้นได้ชั่วคราว แล้วมันใช้ไปหมดไป หมดไปเพราะอะไร เพราะเราทำคุณงามความดี เราเกิดบนสวรรค์ เกิดในคุณงามความดี แล้วมันก็ต้องใช้พลังงานอันนี้ไป พลังงานนี้ก็เสื่อมไปๆ ก็ต้องหมุนเวียนไปตลอดไป มันต้องสร้างคุณงามความดีไปตลอดไม่มีที่สิ้นสุด

ถึงต้องปฏิบัติบูชาไง การปฏิบัติบูชาของเรานี่เราพยายามคัดให้หัวใจเราเข้าถึงทาง ถ้ามันถึงทางอิ่มเต็มของมันแล้ว มันถึงนะ มันไม่ต้องอาศัยสิ่งใดเลย ใจดวงนี้คงที่ตลอดไป สิ่งที่คงที่ตลอดไป เลี้ยงชีวิตชอบ ชอบถึงที่สุดแล้วมันเป็นอาการของมันโดยธรรมชาติของมัน มีความสุขอยู่อย่างนั้น แล้วก็ว่ามันมีความสุขอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีสุขเวทนา ไม่มีทุกขเวทนา มันไม่มีเวทนามันจะมีความสุขได้อย่างไร ไอ้เวทนามันเป็นความหยาบๆ ไง

ดูอย่างสัตว์สิ เราให้อาหารมันจะพอใจ อย่างสุนัขเราเคยให้อาหารมัน มันจะกระดิกหางเข้าหา ความสุขของมันมีเท่านั้น มันเป็นความหยาบๆ แต่มนุษย์ต้องการมากกว่านั้น ต้องการสิ่งที่ว่าเป็นสมบัติพัสถาน ต้องการชื่อเสียง ต้องการเกียรติยศ ต้องการทุกอย่างเลย ต้องการขนาดไหนมันก็ไม่สมความปรารถนาของมัน เพราะมันต้องการแล้วไม่มีวันพอไง ถมทะเลเท่าไรถมไม่มีวันเต็มได้ ถมหัวใจถมเข้าไปเท่าไร มันปรารถนาสิ่งที่มันต้องการ เราหามาสมความปรารถนาของมัน มันก็มีความปรารถนาต่อไป มันไม่มีที่สิ้นสุดหรอก มันอิ่มเต็มไม่เป็น สิ่งนี้อิ่มเต็มไม่เป็น ปากของกิเลสมันกว้างมาก กว้างขนาดที่ว่าสามโลกธาตุ

ดูอย่างผู้บริหารสิ เริ่มต้นต้องบริหารประเทศ ต้องพยายามบริหารประเทศก่อน สุดท้ายแล้วก็จะบริหารโลก เห็นไหม มันพอใจที่ไหน พอได้ทั้งโลกแล้วมันก็จะบริหารจักรวาล มันคิดของมันไป จินตนาการของมันไป จะเอาอำนาจธรรมชาติทุกอย่างไว้ในอำนาจของมัน นี่ตัณหาความทะยานอยากมันไม่มีความอิ่มพอ

แต่ถ้าเรามาเลี้ยงชีวิตชอบ มันจะอิ่มพอของมัน สิ่งที่ว่ามันเกิดขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่มันมีอยู่ เรามีเราเกิดมา เราถึงเห็นโลกนี้ โลกนี้เราคิดว่าเราเกิดมาเราก็เห็นแล้ว เป็นโลกนี้ของเรา แต่เราไม่รู้ว่าเราเกิดมากี่ภพกี่ชาติแล้ว เกิดตายมากี่ภพกี่ชาติ ถ้าไม่เกิดตายมากี่ภพกี่ชาติ คนเราต้องเสมอกัน ลูกออกมาจากพ่อแม่เดียวกันต้องเสมอกัน ลูกออกมาจากพ่อแม่เดียวกันก็ไม่เสมอกัน เพราะกรรมของจิตที่สร้างสมมาไม่เสมอกัน สมความปรารถนา ลูกเกิดมา เห็นไหม ส่งเสริมพ่อแม่ก็มี ลูกที่เกิดขึ้นมาทำให้เราพลัดพรากจากสิ่งที่ว่ามันสมความปรารถนาก็มี ลูกเกิดมานี่ไม่จำเป็นว่าจะต้องให้ส่งเสริมเราตลอดไป

มีอีกเหมือนกัน นี่คู่เวรคู่กรรม คู่ทุกข์คู่ยาก คู่สร้างคู่สม ถ้าคู่สร้างคู่สมมันจะส่งเสริมกันไป การครองเรือนเป็นแบบนั้น การครองเรือนครองชีวิตครองหัวใจของเรา ถ้าเราครองหัวใจของเราได้ก่อน เราจะครองเรือนด้วยความปกติ ด้วยความสุขพอสมควรเพราะอะไร เพราะเรามีศีลมีธรรมไง กลิ่นของศีลหอมทวนลม ศีลนี้หอมทวนลม มันเป็นปกติของเรา เรารักษาของเราไปนี่มันจะหอมทั่วไป

กลิ่นของธรรมยิ่งไปใหญ่ เพราะเทวดาสาธุการ เห็นไหม คนดีผีคุ้ม เทวดาคุ้มครองเพราะสิ่งนี้ เพราะใจมันปกติ ใจมันไม่คิดอกุศล ในหัวใจนี่ใจสะอาด ถ้าใจของมันสะอาดกลิ่นของมันก็จะหอมทวนลม ถ้าใจของเราอคติ ใจของเราเหมือนก้อนหิน ถ้าทิ้งลงไปในน้ำก็จมน้ำ ความผูกโกรธความผูกพันของใจ ใจถ้ามีอกุศลในหัวใจมันจะเป็นสิ่งที่ตกต่ำ มันจะเป็นสิ่งที่มีน้ำหนัก น้ำหนักจะทำให้ตกต่ำ

แต่ถ้าใจของผู้ที่มีกุศลในหัวใจ มีแต่ความกุศล มีแต่ความปรารถนาขอให้ทุกสัตว์โลกมีความสุข มันจะมีความเบาในหัวใจ เห็นไหม สิ่งที่เบาเหมือนปุยนุ่น มันจะลอยขึ้นไปบนอากาศ ใจก็เหมือนกัน ถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมานี่ มันเป็นกิริยาเฉยๆ มันไม่มีเจตนา เจตนาของเรามันมีความอยากมันมีความต้องการ ใจถึงมีเจตนา เราเห็นสิ่งนั้น สิ่งนั้นจะผูกพันเราไป แต่ถ้าเราปฏิบัติใจของเราขึ้นมานี่ เราจะเห็นสิ่งนั้น เจตนานี้เป็นอาการเป็นกิริยาเท่านั้น ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ไม่มีความคิดออกไป มันใช้อยู่เฉยๆ เข้าไป มันใช้อาการอย่างนี้ เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ๔๕ ปีใช้สิ่งนี้สอนโลกมา สิ่งที่ว่าใช้สอนโลก สอนโลกเป็นสมมุติเหมือนกัน สื่อเหมือนกัน พระอรหันต์เหมือนกัน เหมือนกับเราปกตินี่แหละ เหมือนกันเพราะมีธาตุขันธ์เหมือนกัน แต่ต่างกันมหาศาลเรื่องของกิเลสในหัวใจไง ความยึดมั่นถือมั่นของใจไม่มี ความยึดมั่นถือมั่นสิ่งที่ว่าสิ่งนี้เป็นของเรา สิ่งหยาบๆ เป็นของเรา ไม่มี

แต่ปรารถนาสอนโลกเพราะอะไร เพราะเห็นความทุกข์ไง ใจของเราเคยทุกข์เคยยาก คนเราเคยทุกข์เคยยากนะ เคยลำบากขึ้นมา เหมือนร้อน เราไปเผชิญกับชีวิตนี่ เดินไปข้างหน้าร้อนทั้งหมดเลย อาการอย่างนี้เป็นอาการสิ่งที่เราต้องผจญภัยทั้งหมดเลย แล้วคนเดินตามหลังเรามาทำไมเราไม่สงสาร ทำไมเราไม่บอกกล่าว แต่ถ้ามันมีกิเลสเห็นไหม บอกกล่าวขนาดไหนเขาก็ไม่ฟัง เขาไม่ฟังด้วย แล้วเขาจะเผชิญกับความร้อนนั้น เพราะเขาเห็นผิดว่าความร้อนนั้นเป็นความร่มเย็น ความร้อนนั้นเป็นความสมปรารถนา โลกนี้ร้อนๆ ตลอดไป

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในธรรม แม้แต่ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจนะ คนเกิดมาทุกดวงใจมีความทุกข์ในหัวใจ ความทุกข์ในหัวใจคือความว้าเหว่ ความไม่สมความปรารถนา จะมีเงินทองข้าวของมากน้อยขนาดไหนก็แล้วแต่มันมีความว้าเหว่ มีความขัดมีความขาดเขินในหัวใจ หัวใจนี้ไม่เคยอิ่มเต็ม อิ่มเต็มไปไม่ได้เพราะกิเลสมันทำให้พร่อง

สิ่งที่พร่อง เห็นไหม เขย่ามันยังมีเสียงดังมาก ถ้าขาดมากจะเสียงดังมากทุกข์มากในหัวใจ หัวใจจะเป็นอย่างนั้นถ้าไม่มีธรรม นี่การเกิดมาในชีวิต เราต้องเลี้ยงธาตุเลี้ยงร่างกายของเรา ถ้าเราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เรากินอิ่มนอนหลับสบาย เราจะมีความสุขมาก แต่เราเจ็บไข้ได้ป่วย เห็นไหม เริ่มต้องคัดเลือกอาหารแล้ว อาหารนี้จะไปส่งเสริมเรื่องโรคไหม จะไปแสลงต่อร่างกายเราไหม ถ้าแสลงกับร่างกายโรคมันจะแบบว่ามันจะแก่ไป โรคมันจะทำให้เราเจ็บปวดมากขึ้นไป เราต้องสละสิ่งนั้น สละออกไป เรากินไม่ได้เรารักษาไม่ได้ แต่ถ้าเรากินได้เรื่องของโลกกินได้หมดเลย

ใจก็เหมือนกัน มันเอาทั้งนั้น มันพอใจทั้งนั้น มันอยากให้สมความปรารถนาของมัน ต้องการสิ่งต่างๆ แล้วมันต้องแสวงหาสิ่งนั้น แล้วจะไม่สมความปรารถนา จะไม่มีการสมปรารถนา จะเป็นอย่างนี้ มันจะเป็นเครื่องล่อ กิเลสจะล่อใจของเราให้เดินไป ให้เผชิญไปสิ่งที่ว่าจะต้องมีความเร่าร้อนในหัวใจ แต่ถ้าสงบใจของเราได้ โลกนี้เป็นอย่างนี้ โดยธรรมชาติของมัน มันจะเป็นสิ่งที่เก้อๆ เขินๆ เราผูกพัน

โลกนี้มีเพราะมีเรา มีเราเราก็ชำระหัวใจของเราจนจบสิ้น แล้วสิ่งต่างๆ ก็อาศัยกันไปชั่วคราว สิ่งนี้อาศัยกันไปชั่วคราวเพราะเป็นธรรมชาติ มีการเกิดมีการแปรปรวนเป็นธรรมดา ธรรมชาติเป็นแบบนั้น ชีวิตเราเกิดมาโดยธรรมชาติเหมือนกัน แต่ธรรมะที่เรารู้มันเหนือธรรมชาติเราถึงไม่อยู่ใต้กฎธรรมชาติ ถ้าใต้กฎธรรมชาติเราก็ต้องไปตามกฎธรรมชาติ ต้องมีการเจริญเติบโต ต้องมีการเสื่อมสลายไป ต้องมีการแปรปรวนเป็นธรรมดาโดยธรรมชาตินั้น

แต่จิตถึงทำแล้วไม่มีความแปรปรวน สิ่งนั้นแปรปรวนเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่หัวใจธาตุรู้มันประเสริฐมาก มันมีความรู้สึกต่างๆ มันเข้าใจสิ่งนี้ แล้วมันปล่อยวางสิ่งนั้นไว้ตามความเป็นจริง มันปล่อยวางไว้ตามความเป็นจริง เห็นไหม จริงคือว่าจริง เขาก็จริงของเขา เราก็จริงของเรา สภาวะแบบนั้นต้องเป็นความจริงอย่างนั้นแน่นอน ต้องแปรปรวน โลกนี้ต้องแปรปรวนแน่นอนไปอย่างนั้นโดยธรรมชาติของมัน แต่หัวใจนี้จริง จริงโดยที่ไม่แปรปรวนคงที่ของมันตลอดไป สิ่งที่คงที่ไม่แปรปรวนไปแบบนั้นมันก็จริง เห็นไหม

แต่ถ้าพูดถึงโลกของกิเลส มันไม่จริง ใจมันก็ปลอม ปลอมเพราะอะไร เพราะมันไม่เข้าใจตัวมันเอง มันเป็นอวิชชา คือรู้ รู้ในธาตุรู้เฉยๆ แต่ไม่รู้ตัวเอง รู้แต่ติดเขาไปมันก็ไม่จริง โลกสิ่งนี้ก็ไม่จริง เพราะมันเป็นสมมุติ มันเกิดดับจากธรรมชาติของมัน เป็นธรรมชาติที่มันเกิดดับแปรสภาพ ใจก็เป็นสมมุติอันหนึ่งเพราะโดนกิเลสปกคลุมอยู่ มันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มันถึงเป็นธรรมชาติไง

สิ่งที่ลึกลับมหัศจรรย์คือสิ่งนี้มันเหนือธรรมชาติได้ โดยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยการประพฤติปฏิบัติ อยู่ในศาสนาของเรา อยู่ในการประพฤติปฏิบัติของเรา อยู่ในการแสวงหาของเรา ถ้าใครต้องการใครแสวงหาจะได้สิ่งนี้สมความปรารถนา เพราะมีหัวใจเป็นภาชนะเป็นเครื่องรองรับ สิ่งที่รองรับคือหัวใจที่มันทุกข์อยู่นี่มันดับทุกข์ได้

แต่ถ้าเราไม่คิดสิ่งนี้ เราใช้ชีวิตของโลกเราไป เราแสวงหาเราทำของเราไป ตามกระแสที่ว่ามันพอใจ มันจะเวียนตายเวียนเกิดตามสภาวะแบบนี้ แล้วมันน่าเหนื่อยหน่าย มันน่าทุกข์ร้อนใจ น่าขยะแขยง แต่เราก็ฝืนไม่ได้ เห็นไหม ถ้าเราฝืนได้เราต้องประพฤติปฏิบัติได้ เราต้องมีเวล่ำเวลาประพฤติปฏิบัติ เพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่ากับเรา

โลกเห็นไหม คนโง่นี้มีมากกว่าคนฉลาด คนฉลาดมีน้อยมาก คนโง่นี้มีมากเลย แล้วเขาโง่เขาไม่เข้าใจเรื่องชีวิตของเขา แล้วเราจะไปฟังเสียงของชาวบ้านได้อย่างไร ชาวบ้านจะว่าจะติเตียนนะ พวกเราจะสละออกมาพวกนี้ไม่สู้โลกไม่จริงจัง คนที่ประกอบสัมมาอาชีวะเป็นเศรษฐีเป็นมหาเศรษฐีนั้นต่างหากถึงว่าเป็นผู้ที่ว่าทำประโยชน์กับโลก ทำประโยชน์กับโลกได้อย่างไร สิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับเขาต่างหาก เขาได้มาโดยบริสุทธิ์หรือโดยทุจริตก็ไม่รู้ของเขา

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าอยู่ในป่าแล้วตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เป็นความสะอาดของใจ แล้วสั่งสอนสัตว์โลกมา นี่สั่งสอนสัตว์โลกนะ พระยสะมีทุกข์มากนะ มีเรือนสามหลัง ที่นี่ขัดข้องหนอ ที่นี่เร่าร้อนหนอ เดินออกไปจากเรือนสามหลัง ปราสาทสามหลังออกไป พระพุทธเจ้าบอกที่นี่ร่มเย็น ที่นี่ไม่ขัดข้องหนอ นี่ทุกข์ร้อนมีมากขนาดไหน มันก็ไม่สามารถทำใจของเราให้มีความพอใจได้หรอก ใจจะไม่มีความพอใจ มันจะแสวงหา มันจะต้องการของมันตลอดไปข้างหน้า

ถ้าเราไม่เอาธรรมเข้าไปให้หัวใจนี้ได้ดื่มกิน ธรรมนี่หัวใจได้ดื่มกินแล้วมันจะพอใจของมัน บังคับให้มันพุทโธไปก่อน พุทโธไปก่อน แล้วใช้ปัญญาวิปัสสนา จนถึงที่สุดจะปลดเปลื้องสิ่งนี้ออกจากใจได้สมบูรณ์โดยธรรมชาติ โดยที่เรามีความรู้สึกในใจเรานี่แหละ ใจของเรานี้จะเป็นเครื่องยืนยันกับเรา ทุกข์ก็ใจของเรานี้ยืนยันกับเรา แล้วสุขก็ใจของเรานี้แหละยืนยันกับเรา จะเข้าใจว่าธรรมะมีจริงหรือเปล่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะเป็นจริงได้เปล่า แล้วมันจะสมใจเราตามความปรารถนา เอวัง